Active Income VS Passive Income
คนรวยส่วนมากเลือกที่จะลงทุนเพื่อเป็นเจ้าของธุรกิจ ไม่ใช่ “ลูกจ้าง” เมื่อเป็นเจ้าของธุรกิจแล้ว ก็จ้าง “ลูกจ้าง” มาทำงานแทนตนเอง ส่วนคนรวยก็เป็นเพียงผู้บริหาร เพราะจะมีคนจำนวนมาก ที่จะยอมทำงานแทนเขาเหล่านั้น เพื่อรอรับเงินเดือนทุกเดือน
คุณเคยสงสัยมั้ยว่าคนทั่วไปมีรายได้แบบไหน? แล้วคนรวยมีรายได้แบบไหน? แล้วอะไรทำให้คนสองกลุ่มนี้แตกต่างกัน แล้วทำไมคนรวยยิ่งรวย ทั้งๆที่ไม่เห็นจะทำงานอะไรเลย? ทำไมน่ะเหรอ... ก็เพราะว่าในโลกนี้มีการทำงานให้ได้เงิน 2 ประเภทนั่นเองค่ะ
คุณเคยสงสัยมั้ยว่าคนทั่วไปมีรายได้แบบไหน? แล้วคนรวยมีรายได้แบบไหน? แล้วอะไรทำให้คนสองกลุ่มนี้แตกต่างกัน แล้วทำไมคนรวยยิ่งรวย ทั้งๆที่ไม่เห็นจะทำงานอะไรเลย? ทำไมน่ะเหรอ... ก็เพราะว่าในโลกนี้มีการทำงานให้ได้เงิน 2 ประเภทนั่นเองค่ะ
รายได้บนโลกใบนี้มี 2 แบบ
รายได้แบบ Active Income คือ ต้องทำงานถึงได้เงิน แต่รายได้แบบ Passive Income คือ ไม่ต้องทำงาน (หรือออกแรงน้อยมาก) ก็ได้เงิน สมัยนี้ใครก็ชอบ Passive มีเงินไหล
นั่งอยู่บ้านเฉยๆ ก็มีเงินเข้ามา
นั่งอยู่บ้านเฉยๆ ก็มีเงินเข้ามา
อยากให้ลองนึกถึงก๊อกน้ำ 2 แบบ
"Active Income" คือ ก๊อกน้ำแบบกด ต้องออกแรงกด...น้ำจึงไหล... พอหยุดไหล...ก็ต้องกดใหม่ซ้ำไปเรื่อยๆ แปลว่า ต้อง Active (กด) จึงเกิด Income (น้ำ) ใช้เทียบกับรายได้ที่ต้องเอาแรง เอาสมอง เอาเวลาไปแลก เช่น ลูกจ้าง ข้าราชการ มนุษย์เงินเดือน หมอ ทนาย วิศวกร นักบัญชี
เจ้าของร้านอาหาร ร้านกาแฟ ฯลฯ
สรุปคือ Active Income หยุดทำงานแล้วไม่ได้ตังค์
เจ้าของร้านอาหาร ร้านกาแฟ ฯลฯ
สรุปคือ Active Income หยุดทำงานแล้วไม่ได้ตังค์
"Passive Income" คือ ก๊อกน้ำแบบหมุน ต้องออกแรงหมุนก๊อก...น้ำจึงไหล...และไหลไม่มีวันหยุด นี่คือ รายได้ที่คนจำนวนมากใฝ่ฝันถึง เพราะแม้เราจะอยู่เฉยๆ(Passive) น้ำ(Income)ก็ยังไหลไม่ขาดสาย ใช้เทียบกับรายได้ที่ลงแรงครั้งแรกครั้งเดียว...หลังจากนั้นก็แทบไม่ต้องลงแรงแต่ยังได้เงินไม่หยุด เช่น รายได้ค่าเช่า (อพาร์ทเม้นท์ โกดัง คอนโด), ค่าลิขสิทธิ์เพลง ละคร หนังสือ, พอร์ทหุ้นปันผล ไปยันเครื่องซักผ้าและตู้น้ำหยอดเหรียญ
สรุปคือ Passive Income หยุดทำงานแล้ว ยังได้ตังค์ไหลมาเทมาแบบ Non-Stop
คำถามวัดความเข้าใจ : เงินเดือนของข้าราชการ เงินเดือนพนักงานบริษัทฯ หรือคนส่วนมาก เป็น Passive Income หรือไม่?
คำตอบ คือ “ไม่ใช่” และ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะเงินเดือนเหล่านั้นเกิดจากการทำงานในแต่ละเดือนเพื่อให้ได้ค่าตอบแทนมา ดังนั้นเงินเดือนจึงเป็น Active Income ง่ายๆ คือ ต้องทำงานถึงจะได้ ซึ่งเมื่อใดที่เราหยุดทำงาน หน่วยงานราชการหรือบริษัทที่เป็นนายจ้างก็ย่อมหยุดจ่ายเงินเดือนไปโดยปริยาย รายได้ของเราก็จะหดหายไปทันที ถ้าเราป่วย
เราตาย รายได้นั้นก็จะตายตามเราไปด้วย ลูกหลานเราก็ไม่ได้อะไร หรือเต็มที่ก็เงินก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่ง
ถ้าให้คุณเลือกระหว่าง 1 ล้านบาท แบบ active income กับ 1 แสนบาทแบบ passive income คุณจะเลือกอะไร?
คำตอบนี้ไม่มีผิดไม่มีถูก แต่คำตอบนี้คืออะไรที่ตอบโจทย์คุณมากที่สุดต่างหาก สำหรับแอมจะเลือก 1 แสนบาท แบบ passive income เพราะมันมีมูลค่าในอนาคต (Future Value) แอมไม่ต้องทำงานไม่ต้องเครียด ในขณะที่เงินไหลมาเดือนละ 1 แสนบาท จริงๆแล้ว เงิน 1 แสนบาทแบบ passive income เทียบกับมีคอนโดปล่อยเช่าถึง 10 ห้อง มูลค่า 30 ล้านบาทเชียวนะคะ เพราะว่า 1 ห้องมีมูลค่า 3 ล้านบาท จะปล่อยเช่าได้ประมาณ 1 หมื่นบาท นั่นเอง
ในขนะที่ 1 ล้านบาท แบบ active income เดือนละ 1 ล้านบาท ดูเหมือนเยอะนะคะ แต่มันไม่มี Future Value เลยถ้าคุณหยุดทำงาน คุณก็ไม่ได้เงิน ถ้าคุณป่วยคุณก็ทำงานไม่ได้ ก็ไม่ได้เงิน
สรุปแบบง่ายๆ
ความแตกต่างระหว่าง Active Income (คนส่วนใหญ่)
กับ Passive Income (คนส่วนน้อย) คือ
ACTIVE INCOME = คุณ ทำงานเพื่อ เงิน
(You work for money.)
PASSIVE INCOME = เงิน ทำงานเพื่อ คุณ
(Money working for you.)
ความแตกต่างระหว่าง Active Income (คนส่วนใหญ่)
กับ Passive Income (คนส่วนน้อย) คือ
ACTIVE INCOME = คุณ ทำงานเพื่อ เงิน
(You work for money.)
PASSIVE INCOME = เงิน ทำงานเพื่อ คุณ
(Money working for you.)
พอเราเข้าใจคุณสมบัติของ Passive Income และเห็นภาพคร่าวๆ แล้วก็ลองมาดูกันว่า ข้อดีของมันมีอะไรบ้าง?
- สร้างอิสรภาพ — ข้อนี้ชัดเจนมาก เพราะเมื่อวันใดที่เรามีรายได้แบบ Passive Income มากกว่ารายจ่ายในแต่ละวัน เมื่อนั้นเราก็บอกลางานประจำได้เลย เราจะมีเวลามากกว่าคนอื่นทันทีอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน แถมไม่ต้องตอกบัตรเช็คชื่อเข้าทำงานอีกด้วย
- เป็นแหล่งรายได้ใหม่ — ชีวิตเราเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ถึงแม้เราจะมีความสุขกับงานที่ทำอยู่ แต่ถ้าวันใดเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ถูกไล่ออก หรือ ไม่สามารถทำงานต่อไปได้ แต่ถ้าเรามีแหล่งรายได้จาก Passive Income อยู่ ครอบครัวเราก็จะไม่เดือดร้อน
- เป็นแหล่งรายได้ที่ต่อเนื่อง — ไม่ว่าคุณจะรักงานประจำที่คุณทำขนาดไหน ซักวันหนึ่งคุณก็คงต้องหยุดทำ อาจเนื่องด้วยสาเหตุทางด้านอายุ และสุขภาพ เงินรายได้จากการทำงานก็จะต้องหดหายไปในที่สุด แต่ถ้าเรามี Passive Income คอยรองรับอยู่ เงินรายได้ตรงนี้จะยังคงไหลเข้าสู่กระเป๋าของคุณอย่างต่อเนื่อง แถมยังตกทอดเป็นมรดกให้คนใกล้ชิดได้อีกต่างหาก (เราไม่สามารถยกตำแหน่งงานในฐานะลูกจ้างให้ลูกหลานเราได้ ถูกต้องมั้ยคะ)
- เป็นมรดกตกทอดให้ลูกหลาน — อย่างที่อธิบายไว้ด้านบน เมื่อเราวางระบบไว้ดีแล้ว แม้ว่าเราจะไม่อยู่ หรือตายไป รายได้ดังกล่าวยังคงอยู่ และส่งต่อให้กับลูกหลานของเราได้ตลอดไป
6 วิธีในการสร้าง Asset เพื่อรับ Passive Income
ในการสร้างอิสรภาพทางการเงินให้กับเรา
1. สินทรัพย์ทางการเงิน (Finance Asset) เช่น หุ้น ดอกเบี้ย, อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ, น้ำมัน, เงิน, ทองคำ
2. สินทรัพย์ทางปัญญา (Intellectual Asset) เช่น ลิขสิทธิ์ต่าง ๆ, หนังสือ, ภาพวาด
3. อินเทอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง (Internet Marketing) เช่น สร้างระบบเพื่อให้เช่าพื้นที่เพื่อรับฝากโฆษณา
4. อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) เช่น ซื้อที่ดินหรือซื้อคอนโด แล้วให้คนอื่นเช่า
5. การซื้อแฟรนไชส์ (Franchise) เช่น การกระจายธุรกิจของตนเอง โดยให้คนอื่นใช้สิทธิ์ ชื่อเครื่องหมายการค้าของตนเอง
6. ธุรกิจเครือข่าย (Network marketing) เป็นวิธีเดียวที่ใช้ทุนน้อย ความเสี่ยงต่ำกว่าวิธีอื่นๆ แต่ได้ผลลัพธ์มากที่สุด
การสร้างรายได้ของทั้ง 2 ทิศทาง
มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ทั้งเรื่องของการเงินและเวลา
เมื่อเราเข้าใจและสามารถสร้างรายได้
ด้วย Passive Income ได้แล้ว
สิ่งที่เราจะได้รับในอนาคต...
– มีอิสรภาพทางการเงิน
– มีอิสรภาพทางด้านเวลา
– มีสุขภาพที่ดี
– มีครอบครัวที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและอบอุ่น
– มีชีวิตบั้นปลายที่สมบูรณ์ ได้ใช้ชีวิตตามต้องการ……
ถ้าคุณอยากรู้ อยากลองศึกษา เปิดใจ และมีความตั้งใจที่จะสร้างอิสรภาพให้กับตัวเอง ปลดจากคำว่า
” มนุษย์เงินอยู่ไปเดือนๆ ”
ดูคลิปของ โรเบิร์ต คิโยซากิ
” มนุษย์เงินอยู่ไปเดือนๆ ”
ดูคลิปของ โรเบิร์ต คิโยซากิ
อิสรภาพทางการเงิน
หลายๆคนคงเคยได้ยินกับคำว่าอิสรภาพทางการเงิน แต่อาจยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่าอิสรภาพทางการเงินคืออะไร สำหรับแอมคำว่าอิสรภาพทางการเงินคือการที่เราไม่ต้องลงแรงทำงาน สามารถมีเวลาทำในสิ่งที่ตนเองชอบโดยไม่เดือดร้อนและกังวลเรื่องเงินๆทองๆ พอมาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่า ไม่ได้ทำงานแล้วจะเอาเงินมาจากไหนล่ะ คำว่าไม่ได้ลงแรงทำงานไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องทำงาน แต่เราต้องรู้จักใช้ทรัพย์สินหรือรู้จักใช้เงินทำงานแทนเรา เพื่อที่เราจะได้มีเวลาให้กับชีวิตของเรา หรือมีอิสรภาพทางการเงิน
คนส่วนมากใช้เวลาทั้งชีวิตหมดไปกับการทำงาน เพื่อเอาเงินไว้ใช้ยามแก่เฒ่า หรือบางคนอาจทำงานทั้งชีวิต ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเป็น เพราะชีวิตเราเกิดมาครั้งเดียว เราควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และคุ้มค่า ชีวิตเป็นของเรา ดังนั้นอิสรภาพทางการเงินจึงเป็นที่ใฝ่ฝันของใครต่อใครหลายๆคน
คนส่วนมากใช้เวลาทั้งชีวิตหมดไปกับการทำงาน เพื่อเอาเงินไว้ใช้ยามแก่เฒ่า หรือบางคนอาจทำงานทั้งชีวิต ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเป็น เพราะชีวิตเราเกิดมาครั้งเดียว เราควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และคุ้มค่า ชีวิตเป็นของเรา ดังนั้นอิสรภาพทางการเงินจึงเป็นที่ใฝ่ฝันของใครต่อใครหลายๆคน